รีวิวเที่ยวซอรัคซาน, ไหว้พระวัด Sinheungsa, ปีนยอดเขา Ulsanbawi Rock
ก่อนไปเที่ยวซอรัคซาน แวะมาเก็บภาพที่ศาลาริมน้ำยองกึมจอง Yeonggeumjeong Sunrise Pavilion ของเมืองซกโช(Sokcho-si)กันก่อน ที่เดียวกับที่มาถ่ายไฟเมื่อคืนนี้นั่นแหล่ค่ะ ศาลายองกึมจองนี้เป็นจุดชมวิวที่ชาวเกาหลีนิยมมารอชมพระอาทิตย์
พอมาถึงก็ยังไม่สว่างค่ะ เวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง อากาศค่อนข้างเย็นและก็มีลมจากทะเลพัดเข้ามาด้วย หนาวอยู่เหมือนกัน เดินถ่ายวิวรอบๆรอพระอาทิตย์ขึ้นกันไปก่อน เห็นมีคนเกาหลีค่อยๆทยอยมากันเรื่อยๆ มีทั้งมาเป็นกรุ๊ปแบกกล้องตัวใหญ่ตั้งใจมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันกับเรา หรือบางคนก็มารอชมพระอาทิตย์ขึ้นเฉยๆ แต่วันนี้เหมือนฟ้าจะปิดค่ะ มีเมฆและหมอกเยอะมาก สรุปว่ามองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น เสียดายมาก ถ้ามาหน้าหนาวคงจะเห็นดวงโตๆเลย
แล้วมุ่งหน้าไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน(Seoraksan) กันเลยดีกว่า เดี๋ยวไปถึงสายแล้วคนจะเยอะ จากเมืองซกโชขับรถไปประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้วอยู่ใกล้ๆเลย ไปถึงรู้สึกว่าคนเริ่มจะเยอะแล้วเหมือนกัน มีทั้งที่มาเที่ยวกันเองและก็มากับกรุ๊ปทัวร์ ตอนที่ไปนี้หุบเขาซอรัคซานเป็นช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีพอดีเลย คนก็เลยมาเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ
ค่าเข้าซอรัคซาน: ผู้ใหญ่ 3,500 วอน, เด็ก(อายุ 14-19) 1,000 วอน, เด็ก(อายุ 8-13) 500 วอน
พิกัดซอรัคซาน: Tel. 033-636-7101, GPS 38.174078, 128.488375
ค่าจอดรถ: รถเล็ก 2,000 วอน, รถใหญ่ 4,000 วอน
ก่อนไปเกาหลีก็ได้หาข้อมูลไปก่อนแล้วว่าจะเที่ยวที่ไหนบนซอรัคซานบ้าง กะว่าจะเที่ยวบนซอรัคซานทั้งวัน แล้วตอนเย็นก็ค่อยขับรถไปโรงแรมก็เลยเลือกโปรแกรมตามนี้
โปรแกรมที่ตั้งไว้วันนี้ก็คือ ขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Gwongeumseong Fortress (1.5 km) -> ไหว้พระใหญ่วัด Sinheungsa Temple -> กินข้าวเที่ยงแถวๆนั้น -> ปีนยอดเขา Ulsanbawi Rock (3.8km)
จริงๆแล้วเส้นทางเดินเขาของซอรัคซานนั้นมีเยอะมาก หลายสิบเส้นทางเลย แต่ที่เลือกมาก็ดูเหมือนจะเป็น Hilight ของที่นี่ ที่คนเขานิยมไปปีนเขากัน ซึ่งแต่ละเส้นทางก็จะมีระดับความชัน, ระยะทาง, และเวลาที่ใช้เดินบอกไว้คราวๆ ระยะทางมีให้เลือกตั้งแต่ 1.5 กิโล ถึง 20 กว่ากิโลเลยก็มี
พอมาถึงด้วยความที่อากาศด้านบนซอรัคซานค่อนข้างหนาว และก็ยังเช้าอยู่ด้วยประมาณ 9 โมงได้ เดินผ่านหน้าร้านกาแฟก็เลยตัดสินใจเข้าไปนั่งดื่มกาแฟแก้หนาวแก้ง่วงกันก่อน ร้านแต่งน่ารักดี เข้ากับบรรยากาศแบบภูเขาเลย เพราะใช้ไม้สนธรรมชาติมาแต่งร้าน
หลังดื่มกาแฟกันเสร็จก็รู้สึกว่าจะอุ่นขึ้นมาหน่อย พร้อมออกไปปีนเขาแรกกันแล้ว ยอดเขา Gwongeumseong Fortress มีกระเช้าให้ขึ้นไปด้านบนค่ะ ไม่ต้องเดินขึ้นไปตั้งแต่ด้านล่าง แต่พอขึ้นไปแล้วก็ต้องเดินต่อเพื่อไปยังยอดเขาอีกที
พอไปถึงที่ซื้อกระเช้าก็นึกดีใจว่าคนไม่เยอะมาก ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วเลยค่ะ ปรากฎว่าเขาให้ขึ้นเป็นรอบๆ ไปซื้อตอน 9 โมงครึ่ง ได้ตั๋วรอบ 11 โมงครึ่ง ต้องรอประมาณ 2 ชั่วโมงแหน่ะกว่าจะได้ขึ้น ถ้าใครจะขึ้นกระเช้าแนะนำให้ไปถึงแล้วรีบไปซื้อตั๋วไว้ก่อนเลย แล้วค่อยไปหาที่นั่งดื่มกาแฟรอหรือเดินเล่นรอจะได้ไม่เสียเวลา เพราะคนค่อนข้างเยอะ
ค่าขึ้นกระเช้า Cable car (ตั๋วไป-กลับ)
ผู้ใหญ่ 10,000 วอน / เด็ก 6,000 วอน
พอได้ตั๋วมาแล้วต้องรอขึ้นกระเช้าอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเลยต้องเปลี่ยนแผน ไปเดินเที่ยววัดชินฮึงซา(Sinheungsa Temple) กันก่อน อยู่เลยที่ขึ้นกระเช้าไปนิดนึง เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนเขาซอรัคซาน ด้านหลังองค์พระเป็นภูเขาซึ่งตอนที่มาใบไม้เปลี่ยนสีสลับเขียว ส้ม แดงพอดี และบริเวณรอบๆวัดก็มีต้นเมเปิ้ล ใบเป็นสีส้มทั้งต้นสีสดมาก ถ่ายตรงไหนก็ส้มไปหมดเลย
เดินเลยวัดมานิดนึงจะมีสะพานข้ามลำธาร แวะถ่ายรูปมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้น้ำในลำธารแห้งเกือบหมดแล้ว เห็นเป็นก้อนหินแทน อีกฝั่งนึงเป็นร้านกาแฟค่ะ (ตรงที่เห็นเป็นหลังคาบ้านแบบเกาหลีในรูป) ด้านในร้านตกแต่งน่ารักดี ใช้ไม้สนคล้ายกับร้านแรกที่แวะเลยแต่มีของตกแต่งน่ารักๆเยอะกว้า ที่ซอรัคซานช่วงนี้เส้นทางเดินเส้นทางเดือนเกือบทั้งหมดใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ถ้าต้นไหนแดงก็จะแดงเต็มที่ ส้มเต็มที่เลย ไม่ผิดหวังเลยที่มาช่วงนี้ (ไปวันที่ 23 ตุลาคม 2015)
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปมาซักพัก ก็ครบ 2 ชั่วโมงละ ถึงเวลาไปขึ้นกระเช้ากันแล้ว ตอนตั๋ว Cable Car เขาจะระบุเวลาเอาไว้เลยว่าให้ขึ้นกี่โมง พอใกล้ๆเวลาเขาก็จะเรียกให้ไปยืนรอเข้าขึ้นกระเช้า รอบนึงจะห่างกันประมาณ 5 นาที ขนาดห่างกันรอบละ 5 นาที ยังรอคิวนานขนาดนี้เลย ข้างบนที่กำลังจะขึ้นไปนี่สงสัยจะคนเยอะมากถึงมากที่สุดแน่ๆ
ขึ้นมาถึงด้านบนกันแล้ว ตรงจุดจอดกระเช้าเป็นเหมือนจุดแวะพัก คือมีร้ายขายเครื่องดื่ม, ของกินและก็ขนม ที่เห็นคนกินกันเยอะมากก็คือขนมของร้านนี้ เป็นเหมือนแป้งทอด มีไส้ด้านในเป็นน้ำตาล ทอดจนข้างนอกกรอบ แล้วก็กินกันร้อนๆ ลองชิมแล้วก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ใส่ไส้มาน้อยไปหน่อย ไม่งั้นคงอร่อยกว่านี้
จากจุดจอดกระเช้าก็ต้องเดินต่อเพื่อไปยังยอดเขา ดูจากในภาพก็คงจะเห็นว่าคนเยอะแค่ไหน เวลาเดินก็เดิมตามกันไปเรื่อยๆ ทางส่วนใหญ่เป็นบันไดให้เดิน ทำไว้ค่อนข้างดีเลยหล่ะ เส้นทางนี้เดินไม่ยากและก็ไม่ชันเท่าไหร่ วิวจากด้านบนนี้สวยมากมองเห็นเป็นภูเขาสลับซับซ้อน และยอดต้นไม้สีส้มตัดกับต้นสนสีเขียว สามารถถ่ายรูปแบบพาโนราม่าได้เลย
เดินมาซักพักไม่ไกลมาก็ถึงยอดเขา Gwongeumseong Fortress แล้ว จากจุดนี้จะไม่มีบันไดหรือทางเดินให้เดินขึ้นไปแล้ว ต้องปีนขึ้นไปอย่างเดียว คนที่เดินขึ้นไปต่อจะน้อยกว่าที่เดินมาเมื่อสักครู่นี้ แต่ก็ยังถือว่าเยอะอยู่ดี ใครที่ไม่ปีนขึ้นบนยอดเขาก็ถ่ายรูปตรงจุดนี้ได้เหมือนกัน เพราะวิวค่อนข้างสวย
เดินไต่หินขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าดูจากในรูปจะเห็นจุดบนสุดของยอดเขามีธงเกาหลีปักอยู่ เราจะปีนขึ้นไปบนนั้นกัน ซึ่งทางจะชันมากตรงใกล้จะถึงยอดเขา ระยะทางไม่ไกลเลยแต่ทางจะค่อนข้างแคบ บางช่วงไม่สามารถเดินสวนกันได้ต้องให้คนที่จะลงจากยอดเขาไต่ลงมาก่อน แล้วเราถึงจะขึ้นไปได้ บางช่วงก็จะมีเชือกให้จับดึงตัวเองขึ้นไป
ค่อยๆปีนมาเรื่อยๆก็มาถึงยอดเขาจนได้ มีขายของที่ระลึกว่าเราได้พิชิตยอดเขานี้แล้ว ด้านบนแทบจะไม่มีพื้นที่ราบให้ยืนสักเท่าไหร่ มีแค่เท่าที่เห็นในภาพแค่นั้นเอง ส่วนใหญ่ต้องนั่งหรือยืนบนโขดหินเอา ที่สำคัญไม่มีราวเหล็กกันตก ถ้าขึ้นไปแล้วก็ต้องเดินระวังกันหน่อยเดี๋ยวจะลื่นตกลงไป
พอลงจากยอดเขาแล้วก็เดินกลับไปที่ตึกเดิมเพื่อลง Cable Car ไปด้านล่าง ขาลงไม่มีเวลาระบุไว้เหมือนขาขึ้น ให้ยืนต่อคิวขึ้นกระเช้าได้เลย ตอนเข้าไปในตู้กระเช้าแนะนำให้ยืนฝั่งด้านหน้าซ้ายมือของกระเช้า จะมองเห็นวิวของวัด Sinheungsa Temple จากมุมสูงได้พอดี
ลงมาถึงก็มื้อเที่ยงพอดี เที่ยงนี้กินพิซซ่าเกาหลี หรือภาษาเกาหลีเรียกว่า “พาจอน Pajeon” จิ้มกินกับน้ำจิ้มงาสีน้ำตาลแบบในรูป ดูคล้ายๆกับโอโคโนมิยากิของญี่ปุ่นแต่เครื่องที่ใส่จะคนละแบบ ที่เกาหลีจะเป็นปลาหมึกกับต้นหอมและแป้ง รสชาติก็พอกินได้ไม่ถึงกับอร่อยมาก กินของคาวเสร็จก็ต่อกันด้วยของหวานขนมถั่วแดงต้มที่ร้านกาแฟเมื่อเช้านี้กินกับไอติมซอฟครีม
อิ่มกันแล้วก็มีแรงเดินต่อไปยังจุดหมายต่อไป ยอดเขา Ulsanbawi Rock เดินไปกลับก็ระยะทางทั้งหมดเกือบ 8 กิโล
▲ Ulsanbawi Rock (2hrs, 3.8km): Sogongwon (소공원) → Sinheungsa Temple (신흥사) → Heundeulbawi Rock/Gyejoam (흔들바위/계조암) → Ulsanbawi Rock (울산바위)
จากจุดลงกระเช้าก็ให้เดินไปทางวัด Sinheungsa Temple จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปประมาณ 2.1 กิโลเมตร ช่วงตรงนี้ยังไม่ค่อยชันมาก และก็จะถึง Heundeulbawi Rock จากนั้นอีก 1 กิโลเมตรสุดท้ายจะเป็นทางชันระดับ Advance ความชันอยู่ที่ 30% เส้นทางเดินเขาที่เกาหลีเขาทำไว้ค่อยข้างดี มีข้อมูลบอกหมดว่าระดับความยากง่ายแค่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกเส้นทางได้ง่่ายขึ้น
อย่ารอช้า ศึกษาเส้นทางเสร็จแล้วก็เริ่มเดินกันเลย ทางช่วงแรกเดินง่ายมาก เป็นทางลาดๆไม่ชันและทำทางเดินไว้อย่างดี ตรงส่วนที่เป็นทางขึ้นเนินทางอุทยานเขาก็ทำบันไดไว้ให้
เดินมาตั้งนานเพิ่งจะเห็นยอดเขา Ulsanbawi Rock เราจะขึ้นไปบนยอดนั้นกัน ดูจากในรูปเหมือนจะอยู่ไกลมาก ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางไม่ถึง 4 กิโล แต่ก็ยังไม่ถอดใจเพราะตอนที่ไปเดินนั้นไม่รู้ว่ายอดที่จะไปมันคือยอดนี้ เพราะดูแล้วเหมือนอยู่ไกลกันหลายสิบกิโล ถ้ารู้ก่อนล่วงหน้าสงสัยจะเดินกลับตั้งแต่ตอนนี้แล้วแหล่ะ
แล้วก็เดินต่อกันไปเรื่อยๆ ผ่านวัดบ้าง, ทางเดินป่าบ้าง แล้วทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เป็นทั้งทางปีนเขาสลับกับบันได แต่วิวต้นไม้สองข้างทางสวยตลอด ทำให้เพลินไปกับการถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสี ไม่เบื่อเลย มีทั้งต้นเมเปิ้ลสีแดงสด สีส้ม สีเหลือง พวกต้นเมเปิ้ลจะไม่สูงมากขึ้นสลับกับต้นไม้ใหญ่ที่ใบยังเป็นสีเขียวอยู่ ถ้าใครมาเที่ยวซอรัคซานต้องมาช่วงนี้เลย มาชมใบไม้เปลี่ยนสีก็คุ้มแล้ว ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
และแล้วก็มาถึง Heundeul Bawi Rock จุดนี้จะมีโขดหินก้อนใหญ่ทรงเกือบกลมตั้งอยู่บนฐานหิน แต่ไม่มีอะไรมาค้ำยันเลย จึงเป็นที่น่าแปลกว่าหินก้อนนี้ไม่ล่วงลงไปและยังคนตั้งอยู่ได้แม้จะโดนฝนโดนลมแรง
หลังจากผ่าน Heundeul Bawi Rock มาแล้ว เส้นทางต่อจากนี้จะเป็นช่วง 1 กิโลเมตรสุดท้ายที่ขึ้นไปยังยอดเขา Ulsanbawi Rock ทางจะชันมาก แต่ถึงทางจะชันก็ยังคงทำไว้ทางเดินค่อนข้างดี มีบันไดให้เดินไปเรื่อยๆ ข้างทางก็เป็นวิวใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้ว
จากจุดตรงนี้ประมาณ 300 เมตรสุดท้ายจะโหดที่สุด ชันที่สุด แต่ทางก็เป็นบันไดเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ลัดเลาะสันเขาขึ้นไป ตรงช่วงนี้ให้ค่อยๆเดินขึ้น ถ้าใครเหนื่อยหรือหอบให้หยุดแวะพักก่อน เพราะอากาศด้านบนจะเบาบาง ออกซิเจนน้อยกว่าด้านล่าง ถ้าใครกลัวความสูงก็อย่าหันหลังกลับมามองบ่อย เพราะมันหวาดเสียวมาก บันไดเหล็กเหมื่อนยื่นออกมาจากเขาหินเลย
หลังจากปีนบันไดมาด้วยความลำบาก เราก็มาถึงยอดเขา Ulsanbawi Rock จนได้ ด้านบนจะมีทางขึ้นไปบนยอด 2 จุด จุดที่ 1 จะมองเห็นจากในรูปด้านล่างนี้ ส่วนจุดที่ 2 คือจุดที่ยืนถ่ายรูปอยู่ บนยอดเขานั้นจะมีรั้วเหล็กเตี้ยๆไม่สูงมากกั้นอยู่ตรงขอบ ตอนที่ขึ้นมายืนช่วงแรกๆนั้นอาจจะยังกลัวอยู่ ต้องรอให้ร่างกายปรับสถาพซัก 5-10 นาทีก็จะเริ่มชิน ตอนแรกยืนตรงๆไม่ได้เลย ต้องเหมือนย่อตัว+คลานไปถ่ายรูป มันหวาดเสียวมาก มองไปด้านข้างนี้เหมือนเป็นเหวไม่มีอะไรรองรับอยู่ข้างล่างเลย แต่พอเริ่มชินก็เดินไปเดินมาได้ปกติ
กว่าจะเดินกลับมาถึงด้านล่างก็เย็นพอดี ประมาณ 6 โมงเย็น ที่เกาหลีเริ่มมืดแล้ว จากนั้นก็ขับรถไปที่โรงแรมเลย วันนี้นอนตรงเชิงเขาโอแดซาน Odaesan โรงแรมนี้บรรยากาศดีอยู่กลางธรรมชาติเลย เสียดายที่ไปถึงค่ำแล้วเลยไม่ได้เดินเล่นชมสวนของโรงแรม Kensington Flora Hotel Pyeongchang Tel. 033-330-5000, GPS 37.688850, 128.597573
มาถึงโรงแกรมก็ทานข้าวเย็นกันเลยเพราะครัวใกล้ปิดแล้ว วันนี้สั่งหม้อไฟเกาหลีมากินกัน คล้ายกับสุกี้ญี่ปุ่นแต่เหมือนน้ำซุปจะเข้มข้นกว่า จำชื่อภาษาเกาหลีไม่ได้ เป็นเนื้อวัวต้มกับผักต่างๆและก็มีวุ้นเส้นเกาหลีด้วย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยแหล่ะ