วันนี้จะพาไปเที่ยวเขาแดดุนซาน (Daedunsan) เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงในการชมใบไม้แดง และไฮไลท์ที่สำคัญก็คือการเดินบนสะพานสีแดงเพื่อข้ามจากยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดหนึ่ง ซึ่งด้านล่างสะพานนั้นเป็นหน้าผาสูง ถ้าใครกลัวความสูงรับรองว่าหวาดเสียวแน่ๆ
ตื่นมาแต่เช้า พระอาทิตย์ยงไม่ขึ้น ก็เดินเล่นแถวหน้าโรงแรมดูบรรยากาศเมืองแทจอน (Daejeon) กันซะหน่อย จากนั้นก็หาข้าวเช้ากิน
จากแทจอน ขับรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงแดดุนซาน ทางเข้าอุทยานเป็นร้านค้าตั้งเรียงรายเต็มเส้นทาง ส่วนใหญ่ก็เป็นร้านอาหาร มาถึงที่นี่ค่อนข้างเช้าเพราะกลัวว่ากระเช้าที่นั่งขึ้นไปด้านบนคนจะเยอะเหมือนที่เกาะนามิ
เดินตามทางมาแป๊ปนึงก็เจอตึกขึ้นกระเช้าอยู่บนเนิน คนยังไม่เยอะมาก ร้านค้าก็ยังไม่เปิดเท่าไหร่ เห็นมีร้านขายลูกพลับตากแห้งอยู่ตรงทางเข้า แต่ร้านปิดเลยอดกิน ลูกพลับที่เกาหลีมีคนบอกว่าอร่อยมาก ถ้ามาแล้วซื้อกลับไปเป็นของฝากได้เลย ที่นี่เขาจะปลอกเปลือกลูกพลับแล้วเอาไปเสียบไว้กับก้าน และตากจนมันแห้ง
เคาเตอร์ขายตั๋ว โล่งมากไม่มีคนเลย ค่าขึ้นกระเช้าคนละ 9,000 วอน (ไป-กลับ) ถ้าซื้อขาขึ้นเที่ยวเดียว (เดินลง) ราคา 6,000 วอน พอซื้อตั๋วเสร็จก็เดินขึ้นไปรอขึ้นกระเช้าที่ชั้นบน
วิวจากบนกระเช้า เห็นวิวเทือกเขาไกลๆ นั่งขึ้นมาสูงพอสมควร วิวสวยมาก ในภาพที่เห็นมีตึกอยู่ไกลๆตรงด้านล่างนั้นก็คือจุดที่เราขึ้นกระเช้า
หลังจากลงกระเช้าแล้วก็ยังไม่ถึงสะพานแดง ต้องเดินขึ้นเขาต่อไปอีกแต่ไม่ไกลมาก ทางเดินเป็นบันไดเดินไม่ยากแต่ค่อนข้างชันพอประมาณเลย มีร้านขายของและร้านกาแฟ ใครอยากนั่งพักจิบกาแฟดูวิวบริเวณนี้ก่อนค่อยเดินขึ้นเขาก็ได้
เดินตามทางมาเรื่อยๆก็ถึงสะพานข้ามสีแดง เป็นสะพานแขวนที่เชื่อมระหว่างยอดเขา 2 ยอด ตามที่วางแผนไว้กะว่าวันที่มาถึงต้นไม้รอบๆสะพานจะต้องเป็นสีแดง แต่พอมาถึงใบไม้แดงร่วงไปเกือบหมดแล้ว เห็นแต่กิ่งไม้แห้งๆ แต่ก็ยังสวยอยู่ดี ถ้าใครจะดู
ใบไม้แดงแนะนำให้มาก่อนหน้านี้ซัก 2-3 อาทิตย์ ประมาณช่วงด้นเดือน-กลางเดือนตุลาคม ใบไม้น่าจะกำลังแดงสวยเลย ตรงสะพานนี้ชื่อว่า Geumgang Scenic Bridge เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างยอดเขา ทางเดินแบบ one-way คือเดินได้ทางเดียว แล้วจะมีทางให้เดินอ้อมกลับลงไปอีกทางนึง เพราะฉะนั้นใครจะถ่ายรูปมุมไหนก็ให้ถ่ายเลย ขากลับไม่ได้ผ่านมาทางเดิมแล้ว
หลังจากข้ามมาแล้วก็จะไปยังจุดที่ 2 กันต่อเลย เป็นบันไดสีแดง ชื่อว่า Samseon Stairway ที่เชื่อมระหว่างยอดเขาเหมือนกัน แต่เป็นยอดเตี้ยกับยอดสูง ชันมากถึงมากที่สุด ที่สำคัญแคบมากด้วย ไต่ขึ้นไปได้ทีละคนเท่านั้น เป็นแบบ One-way เหมือนกัน ให้เดินจากด้านล่างขึ้นไปยอดด้านบน ก่อนจะไปปีนบันไดก็พักดูวิวเขากันก่อน ถึงแม้ว่าใบไม้แดงจะร่วงไปเกือบหมดแล้วแต่บางต้นก็ยังไม่โรย เห็นวิวยอดเขาภูเขาหินมีต้นไม้ขึ้นแซมสีเหลืองสลับเขียว สวยไปอีกแบบ
ทางเดินช่วงนี้ไม่ได้เป็นบันไดแล้วแต่จะเป็นหินแทน ชันอยู่เหมือนกัน พอขึ้นไปถึงก็นั่งพักกันก่อน ตรงจุดนี้มีทางแยกให้ 2 ทาง สำหรับคนที่จะเดินขึ้นบันไดแดงให้ไปทางซ้าย ส่วนคนที่ขึ้นไม่ได้หรือกลัวก็ให้แยกไปทางขวา เป็นทางเดินขึ้นเขาปกติ จะมีป้ายเขียนเตือนเอาไว้ด้วยว่าบันไดรับน้ำหนักได้ 60 คนเท่านั้น แล้วเวลาเดินขึ้นก็ห้ามเขย่าหรือขย่มบันได สำหรับผู้สูงอายุหรือคนที่ร่างกายไม่พร้อม, คนเมา และเด็ก เขาห้ามขึ้นบันไดแดงนะ ให้เดินขึ้นทางปกติแทน
จากจุดพักก่อนขึ้นบันไดแดงที่ชันๆ มองกลับไปจะเห็นสะพานที่ตอนแรกเราเดินข้ามมา จุดนี้เป็นจุดถ่ายสะพานยอดนิยมเพราะในช่วงที่มีใบไม้แดงนั้น ตรงยอดเขาจะมีใบไม้แดงปกคลุมทั้งหมด เป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่เลย
ดูความสูงและชันของบันไดที่จะปีนขึ้นไปแบบใกล้ๆกันซะหน่อย ขึ้นไปได้ที่ละคนเท่านั้น ถ้ามองลงไปด้านล่างระหว่างเดินอยู่นี่จะเห็นเป็นหน้าผาโล่งๆเลย บางคนก็ไม่กล้าหันหลังกลับมามองวิว และถ้าตัดสินใจขึ้นไปแล้วขอบอกว่าเปลี่ยนในลงมาไม่ได้ด้วย เพราะเป็นทางเดินทางเดียว ขึ้นไปแล้วก็ขึ้นปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
และเดินต่อไปยังยอดที่สูงที่สุดของเขาแดดุนซาน นั่นก็คือยอดเขา Macheondae Peak วิวข้างบนสวยมาก และคนก็เยอะมากเช่นกัน
พอไปที่ยอดเขาที่สูงสุดเสร็จก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม แต่พอถึงทางแยกที่จะไปยังบันไดแดง จะมีอีกเส้นทางนึงที่เดินอ้อมเขากลับลงไปที่กระเช้า ดูจากแผนที่แล้วระยะทางไม่ค่อยไกลมากจึงตัดสินใจเดินอ้อมเขาดู คนที่เดินไปทางนี้ก็ไม่เยอะ แต่ทางเดินค่อนข้างโหดกว่าทางที่มา ระหว่างทางก็มีจุดแวะพักถ่ายรูปเรื่อยๆ
หลังจากปีนขึ้นไปถ่ายรูปบนยอดเขากัน ขาเดินกลับลงมาเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนในกรุ๊ปลื่นไถลลงมาตรงทางลาด ขยับข้อเท้าไม่ได้ พยายามเดินอยู่ซักพักก็เดินต่อไปไม่ไหว พอดีว่ามีกลุ่มคนเกาหลีผู้หญิงเดินผ่านมาพอดี เขาคงเห็นเราท่าทางจะไม่ไหว เลยโทรเรียกหน่วยฉุกเฉิน 119 ให้ แต่ตรงจุดที่เราเดินมานั้นค่อนข้างห่างจากเส้นทางหลักๆที่เขานิยมเดินกันพอสมควร ระบุตำแหน่งยาก เขาช่วยโทรไปอยู่หลายรอบ ที่สำคัญนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยเพราะเราไม่มีโทรศัพท์ และเจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษกันไม่คล่อง นั่งรอประมาณชั่งโมงกว่าเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินก็มาถึง ตอนแรกคำว่าเขาคงแบกกลับลงไป แต่เขาเอาเฮลิคอปเตอร์มารับ เนื่องจากไม่มีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์เจ้าหน้าที่เลยต้องแบบคนเจ็บขึ้นไปบนยอดเขา หาจุดโล่งๆที่เฮลิคอปเตอร์จะหย่อนเชือกลงมารับได้ จากนั้นก็ให้คนเจ็บและเจ้าหน้าที่รอเฮลิคอปเตอร์ ส่วนคนอื่นๆในกรุ๊ปให้เดินลงไปรอที่ด้านล่างตรงจุดที่ขึ้นกระเช้า มีเจ้าหน้าที่นำทางเดินลงไป
พอลงมาถึงด้านล่างเฮลิคอปเตอร์ยังไม่มา เจ้าหน้าที่ก็ขับรถนำมายังจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ ซักพักก็ได้ยินเสียงแล้วตามมาด้วยลมที่แรงมาก ใบไม้ปลิวกระจาย และก็ย้ายคนเจ็บมาที่รถเรียบร้อย และเขาถามว่าจะให้พาไปส่งที่โรงพยาบาลเลยมั๊ย หรือเราจะขับไปเองก็ได้ เห็นว่าขาแพลงก็เลยคิดว่าน่าจะขับไปโรงพยาบาลเองได้ เขาก็เลยช่วยเช็ตค่า GPS ของโรงพยาบาลให้ เป็นโรงพยาบาลของเมืองที่เราจองโรงแรมเอาไว้อยู่ที่เมือง Jeonju แต่พอไปถึงเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐ คุณหมอก็บอกว่าคงจะต้องรอนานเพราะคนไข้เยอะ ให้เอาไปหาโรงพยาบาลเอกชนแทน ก็เลยดูกันแล้วคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก อาจจะแค่ข้อเท้าแพลง เดี๋ยวคงหายเองก็เลยไม่ได้ไปโรงพยาบาลเอกชน หาข้าวเย็นทานแล้วก็เข้าโรงแรมเลย